ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ประกาศเดินหน้าพันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTUREมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืน เปิดกลยุทธ์ติดอาวุธ 4 กลุ่มธุรกิจมั่นใจพิชิตเป้าหมายการเติบโตในปี 2566 อย่างแข็งแกร่ง
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ประกาศพันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTURE แนวคิดที่มุ่งสร้างอนาคตอันยั่งยืนให้กับประเทศไทย ผ่านศักยภาพของ 4 กลุ่มธุรกิจ โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลโซลูชัน ที่ล้วนเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยผลประกอบการอันโดดเด่นในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เผยกลยุทธ์เตรียมความพร้อมทุกมิติให้ทุกกลุ่มธุรกิจเดินหน้าพิชิตเป้าหมายปี 2566 ควบคู่ไปกับการสานต่อภารกิจ Mission To The Sun เพื่อมุ่งสู่การเป็น Technology Company เต็มรูปแบบในปี 2567 ด้วยบทพิสูจน์ความสำเร็จจาก 3 โครงการนำร่อง Green Logistics, Digital Health Tech และ Circular
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group กล่าวว่า “พันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTURE ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ที่มุ่งมั่นการเป็นผู้สร้าง สร้างทั้งความเจริญ สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับผู้คนและสังคมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สู่เป้าหมายสูงสุด คือสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย ด้วยศักยภาพจากระบบ ECO System ที่ครบวงจรและแข็งแกร่งของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เพื่อใช้ในการต่อยอดพัฒนาโซลูชันทางธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจให้นักลงทุนและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งยังช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันและผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็น The World’s Best Investment Destination สำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศทั่วโลก เพราะเราตระหนักดีว่า การกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะเป็นส่วนสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-ของประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”
แนวคิด WHA: WE SHAPE THE FUTURE ต่อยอดมาจากการที่ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ใช้แนวทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืนมาเป็นระยะเวลานานนับตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจ สอดรับกับทิศทางการพัฒนาธุุรกิจของกลุ่มบริษัทในปัจจุบันภายใต้พันธกิจ “The Ultimate Solution for Sustainable Growth” โดยวางแนวทางการพัฒนาที่ยึดหลักบรรษัทภิบาล การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โครงการการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลภายในองค์กร
(Digital Transformation) และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อสร้างคุณค่าและการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับองค์กร ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนในระยะยาว
ขณะเดียวกัน ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าภารกิจ “Mission To The Sun” ซึ่งมี 9 โครงการ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ สู่การยกระดับการพัฒนาองค์กร และบุคลากรของบริษัทฯ มุ่งสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567 โดยขณะนี้ มี 3 โครงการที่มีความคืบหน้าอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม นั่นคือ Green Logistics, Digital Health Tech และ Circular
- โครงการ Green Logistics เป็นการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาปรับใช้กับกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ได้แก่ การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในการขนส่งสินค้า สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นศูนย์กลางในการควบคุมการดำเนินงานของยานยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของประเทศในระยะยาว
- โครงการ Digital Health Tech เพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการและโซลูชันการดูแลสุขภาพ โดยการพัฒนาแอปพลิเคชัน WHAbit ซึ่งเป็นเครื่องมือดูแลด้านสุขภาพผ่านระบบดิจิทัลที่ช่วยให้ผู้สมัคร
ใช้บริการ สามารถจัดการสุขภาพแบบองค์รวมได้ง่ายขึ้น อาทิเช่น การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพย้อนหลัง
ได้ทุกที่ทุกเวลา การปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพกับแพทย์ผ่านทางวิดีโอคอล โดยร่วมกับพันธมิตร
อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช ในการนำเสนอบริการต่าง ๆ
- โครงการ Digital Health Tech เพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการและโซลูชันการดูแลสุขภาพ โดยการพัฒนาแอปพลิเคชัน WHAbit ซึ่งเป็นเครื่องมือดูแลด้านสุขภาพผ่านระบบดิจิทัลที่ช่วยให้ผู้สมัคร
- โครงการ Circular เป็นการรวบรวมไอเดียจากแต่กลุ่มธุรกิจที่นอกจากจะช่วยส่งเสริมการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระบบนิเวศของบริษัทฯ แล้วยังเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน หรืออาจเกิดเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ ได้ อาทิ การจัดการขยะอุตสาหกรรมของโรงงานนึงเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบของโรงงานอื่น หรือเพื่อป้อนให้กับโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม
สำหรับผลการดำเนินงานของ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในช่วงครึ่งแรก ของปี 2566 มีความโดดเด่น มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรกว่า 5,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และกำไรสุทธิ 1,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการที่ดีเหนือความคาดหมาย ยังส่งผลให้บริษัทฯ ปรับเพิ่มเป้าหมายการดำเนินงานของสิ้นปี 2566 ให้สูงขึ้นจากที่กำหนดไว้ก่อนหน้าในช่วงต้นปี
ธุรกิจโลจิสติกส์ มุ่งขยายการเติบโตให้ครอบคลุมทำเลยุทธศาสตร์สำคัญในประเทศ และแสวงหาโอกาส
ใหม่ ๆ ในประเทศเวียดนาม โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อีคอมเมอร์ซ และอุตสาหกรรมที่เป็น New S-curve นอกจากนี้ยังส่งเสริมการสร้างพันธมิตรในระยะยาว พร้อมนำนวัตกรรมทางด้านดิจิทัลและแนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนเข้ามาใช้ทั้งระบบ ตั้งแต่โครงการ Green Logistics โครงการอาคารสีเขียว โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2566 จะมีการลงนามสัญญาเช่าโครงการใหม่รวม 200,000 ตารางเมตร และมีสินทรัพย์ภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารรวมทั้งสิ้น 2,900,000 ตารางเมตร
ในส่วน Office Solutions บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายโครงการอาคารสำนักงานบนทำเลที่ดีเยี่ยมของกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 5 โครงการ บนพื้นที่รวมมากกว่า 120,000 ตารางเมตร และเริ่มขยายสู่โครงการพาณิชยกรรมรูปแบบใหม่ ๆ อย่างไลฟ์สไตล์รีเทลสเปซ พื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ใกล้สถานีบีทีเอสสุรศักดิ์ ถนนสาทร ที่พร้อมเปิดช่วงต้นปี 2567 และโครงการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางในย่านสาทร พื้นที่กว่า 6,900 ตารางเมตร ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม มุ่งรักษาความเป็นผู้นำในประเทศไทยและขยายธุรกิจในเวียดนามให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และมุ่งเน้นการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ
(Smart ECO Industrial Estate) และโครงการอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ปัจจุบันมีนิคมอุตสาหกรรม 13 แห่งในประเทศไทยและเวียดนาม คิดเป็นพื้นที่รวม 71,300 ไร่ นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่อีก 1 แห่ง และส่วนขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมอีก 3 แห่งในประเทศไทย รวมพื้นที่ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา 5,700 ไร่ สำหรับในประเทศเวียดนาม เร่งการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเหงะอาน เฟส 2 ที่มีพื้นที่รวมกว่า 2,215 ไร่ ให้ทันกับความต้องการของลูกค้า ส่วนนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่อีก 2 แห่งอยู่ในกระบวนการขอใบอนุญาตลงทุน ทั้งนี้ ผลจากกระแสการย้ายฐานการผลิต บริษัทฯ จึงได้ปรับเป้ายอดขายที่ดินรวมทั้งในประเทศไทยและเวียดนามสำหรับปี 2566 จาก 1,750 ไร่ ที่เคยประกาศไว้เมื่อต้นปี
เป็น 2,750 ไร่
ธุรกิจสาธารณูปโภค น้ำ ยังคงเติบโตไปพร้อมกับกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงผลิตน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำ 3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และบำบัดน้ำ 1.9 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาส 4 ปี 2566 นี้ นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนหาโอกาสการขยายตลาดสู่ลูกค้าภายนอกนิคม โดยล่าสุดมีการลงนามในสัญญาการซื้อขายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ให้กับลูกค้า 2 รายในนิคมอุตสาหกรรม WHA ESIE4 คิดเป็นปริมาณน้ำรวม 4.6 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ตั้งเป้าสิ้นปี 2566 จะมีปริมาณยอดจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรม น้ำมูลค่าเพิ่ม และปริมาณการบำบัดน้ำเสียในประเทศไทยและเวียดนามรวมทั้งหมด 168 ล้านลูกบาศก์เมตร
ธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และขยายสู่ตลาดใหม่ในประเทศอื่น ๆ ควบคู่กับการนำนวัตกรรมและความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งการหาโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจเพื่อสร้าง New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ (BESS : Battery Energy Storage Systems) ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) การซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) สำหรับเป้าหมายปี 2566 บริษัทฯ จะมีการเซ็นสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) เพิ่มเติมหลายโครงการและคาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 192 เมกะวัตต์ โดยมีเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมจากโครงการพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) รวมทั้งสิ้น 300
เมกะวัตต์ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจะอยู่ที่ 847 เมกะวัตต์
ธุรกิจดิจิทัล เดินหน้าโครงการการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลภายในองค์กร ช่วยเพิ่มศักยภาพการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจของ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ให้เดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง และมุ่งสร้างพันธมิตรใหม่ ๆ ในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังทำงานร่วมกับ 3 กลุ่มธุรกิจ ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในการนำเทคโนโลยีมาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าเพิ่ม อาทิ แดชบอร์ดแสดงผลการทำงานของแผงพลังงานแสงอาทิตย์และอุปกรณ์ตรวจวัดประสิทธิภาพการทำงานของแผง รวมไปถึงเครื่องมือวิเคราะห์ ระบบอัตโนมัติและอุปกรณ์อัจฉริยะ
ต่าง ๆ ที่ใช้ในระบบจัดส่งน้ำ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชัน WHAbit โซลูชันสำหรับดิจิทัลเฮลธ์เทคอย่างต่อเนื่อง และเปิดตัวเวอร์ชันสองในปี 2566 ด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การแสดงข้อมูลด้วยภาพ
(Data Visualization) และการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล
“ด้วยแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจซึ่งมีทิศทางเป็นบวกมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เรามีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้สำหรับสิ้นปี 2566 ขณะเดียวกันก็เสริมศักยภาพในด้านต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็น Technology Company อย่างเต็มรูปแบบในปี 2567 และเดินหน้าแคมเปญ
WHA: WE SHAPE THE FUTURE เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับผู้คน สังคม
และประเทศไทย สอดคล้องกับพันธกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป The Ultimate Solution for Sustainable Growth” คุณจรีพรกล่าวทิ้งท้าย
Leave a Reply